รู้จัก HIV กับ เอดส์ มันต่างกันอย่างไร….? รู้จัก HIV กับ เอดส์ มันต่างกันอย่างไร….? รู้จัก HIV กับ เอดส์ มันต่างกันอย่างไร….?

รู้จัก HIV กับ เอดส์ มันต่างกันอย่างไร….?

               HIV ไม่ใช่โรค แต่เป็นเชื้อไวรัส ซึ่งย่อมาจากคำว่า human immunodeficiency virus ผู้มีเชื้อ HIV จะไม่ใช่ผู้ป่วย เพราะยังไม่มีอาการแสดงใด ๆ ที่สัมพันธ์กับเอดส์ ในช่วง 2 – 3 สัปดาห์หลังรับเชื้อ ร่างกายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด เจ็บคอ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต จากนั้นจะหายไปเอง ส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ นี่คือระยะที่ 1 หรือ ระยะไม่มีอาการ ผู้ที่อยู่ในระยะนี้ เรียกว่า ผู้มีเชื้อ HIV หรือ ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV

โรคเอดส์เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV เอชไอวี หรือ acquired immune deficiency syndrome คือกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ HIV ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกเชื้อไวรัสทำลายจนร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคทั้งหลายที่เข้าสู่ร่างกายได้

ดังนั้นโรคเอดส์ และ HIV ไม่ใช่โรคเดียวกันเพียงแต่มีความเกี่ยวเนื่องกันทางอาการเท่านั้น

การติดเชื้อเอชไอวี 3 ระยะ

               ระยะเฉียบพลัน เป็นระยะแรกหลังรับเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากติดเชื้อ ในระยะนี้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากจะเริ่มมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีผื่นและปวดหัว

ระยะอาการ ระยะนี้เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายแต่มักไม่แสดงอาการ อย่างไรก็ตามในระยะนี้ยังสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ด้วย

ระยะเอดส์ เป็นระยะที่การติดเชื้อเอชไอวีได้พัฒนาเป็นโรคเอดส์ กว่าจะถึงระยะนี้ได้แสดงว่าผู้ป่วยไม่เคยได้รับการระงับการแพร่กระจายของไวรัสในร่างกายเลย ในระยะนี้ผู้ป่วยจะสูญเสียภูมิคุ้มกันโรคและจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ขึ้นและรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

หมายความว่าเราจะไม่สามารถเป็นโรคเอดส์ได้เลยถ้าเราไม่ได้รับเชื่อ HIV เข้าสู่ร่างกาย หรือเมื่อได้รับเชื้อแล้วผู้ติดเชื้อเอชไอวีอาจไม่พัฒนาอาการจนเป็นผู้ป่วยโรคเอดส์เต็มขั้น

การติดเชื้อเอชไอวี

               คนสามารถติดเชื้อเอชไอวีโดยการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำนมแม่ สาเหตุการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือส่งผ่านจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนควรมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย โดยการใช้ถุงยางอนามัยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเข็มฉีดยาที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อโรค ไม่ว่าจะระหว่างการไปพบแพทย์หรือการใช้เพื่อนันทนาการ

ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรดูแลตนเองอย่างไรไม่ให้ไปสู่ภาวะเอดส์ ?

               บอกคนรอบข้างว่าตนเองเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะทั้งตนเองและคนรอบข้างจะได้เตรียมรับมือและปฏิบัติตัวตามข้อควรระวังหรือขั้นตอนต่าง ๆ ในการดูแลและอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อได้อย่างเหมาะสมปลอดภัย

รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้เคร่งครัดตรงเวลา

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ พืชตระกูลถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี และแหล่งโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เป็นต้น เพราะการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อาจช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรง เป็นผลดีต่อการรักษาด้วยยา ลดความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียงและอาการต่าง ๆ ของโรค ซึ่งช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับโรคได้ดียิ่งขึ้นด้วย

               ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ส่งเสริมสุขภาพจิตและบุคลิกภาพที่ดีแล้ว ยังมีงานวิจัยที่พบว่าการออกกำลังกายอาจช่วยกระตุ้นให้ระบบการเผาผลาญอาหารของผู้ติดเชื้อเอชไอวีทำงานได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ดูแลสุขภาพจิต เป็นเรื่องปกติที่ผู้ป่วยจะรู้สึกเครียด ซึมเศร้า และวิตกกังวลเป็นอย่างมากหลังจากทราบว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งผู้ป่วยอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น จิตแพทย์

ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อเอชไอวีสู่ผู้อื่น เชื้อเอชไอวีสามารถแพร่กระจายผ่านทางของเหลวต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำ เป็นต้น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ให้คู่นอนไปตรวจเลือด และผู้ป่วยต้องรับประทานยาต้านเชื้อเอชไอวีอยู่เสมอ

ข้อมูลและภาพจาก : ไอยราไบโอเทค , pobpad.com , mplusthailand.com , bumrungrad.com

รู้จัก HIV กับ เอดส์ มันต่างกันอย่างไร….?

               HIV ไม่ใช่โรค แต่เป็นเชื้อไวรัส ซึ่งย่อมาจากคำว่า human immunodeficiency virus ผู้มีเชื้อ HIV จะไม่ใช่ผู้ป่วย เพราะยังไม่มีอาการแสดงใด ๆ ที่สัมพันธ์กับเอดส์ ในช่วง 2 – 3 สัปดาห์หลังรับเชื้อ ร่างกายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด เจ็บคอ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต จากนั้นจะหายไปเอง ส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ นี่คือระยะที่ 1 หรือ ระยะไม่มีอาการ ผู้ที่อยู่ในระยะนี้ เรียกว่า ผู้มีเชื้อ HIV หรือ ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV

โรคเอดส์เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV เอชไอวี หรือ acquired immune deficiency syndrome คือกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ HIV ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกเชื้อไวรัสทำลายจนร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคทั้งหลายที่เข้าสู่ร่างกายได้

ดังนั้นโรคเอดส์ และ HIV ไม่ใช่โรคเดียวกันเพียงแต่มีความเกี่ยวเนื่องกันทางอาการเท่านั้น

การติดเชื้อเอชไอวี 3 ระยะ

               ระยะเฉียบพลัน เป็นระยะแรกหลังรับเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากติดเชื้อ ในระยะนี้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากจะเริ่มมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีผื่นและปวดหัว

ระยะอาการ ระยะนี้เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายแต่มักไม่แสดงอาการ อย่างไรก็ตามในระยะนี้ยังสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ด้วย

ระยะเอดส์ เป็นระยะที่การติดเชื้อเอชไอวีได้พัฒนาเป็นโรคเอดส์ กว่าจะถึงระยะนี้ได้แสดงว่าผู้ป่วยไม่เคยได้รับการระงับการแพร่กระจายของไวรัสในร่างกายเลย ในระยะนี้ผู้ป่วยจะสูญเสียภูมิคุ้มกันโรคและจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ขึ้นและรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

หมายความว่าเราจะไม่สามารถเป็นโรคเอดส์ได้เลยถ้าเราไม่ได้รับเชื่อ HIV เข้าสู่ร่างกาย หรือเมื่อได้รับเชื้อแล้วผู้ติดเชื้อเอชไอวีอาจไม่พัฒนาอาการจนเป็นผู้ป่วยโรคเอดส์เต็มขั้น

การติดเชื้อเอชไอวี

               คนสามารถติดเชื้อเอชไอวีโดยการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำนมแม่ สาเหตุการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือส่งผ่านจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนควรมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย โดยการใช้ถุงยางอนามัยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเข็มฉีดยาที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อโรค ไม่ว่าจะระหว่างการไปพบแพทย์หรือการใช้เพื่อนันทนาการ

ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรดูแลตนเองอย่างไรไม่ให้ไปสู่ภาวะเอดส์ ?

               บอกคนรอบข้างว่าตนเองเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะทั้งตนเองและคนรอบข้างจะได้เตรียมรับมือและปฏิบัติตัวตามข้อควรระวังหรือขั้นตอนต่าง ๆ ในการดูแลและอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อได้อย่างเหมาะสมปลอดภัย

รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้เคร่งครัดตรงเวลา

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ พืชตระกูลถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี และแหล่งโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เป็นต้น เพราะการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อาจช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรง เป็นผลดีต่อการรักษาด้วยยา ลดความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียงและอาการต่าง ๆ ของโรค ซึ่งช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับโรคได้ดียิ่งขึ้นด้วย

               ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ส่งเสริมสุขภาพจิตและบุคลิกภาพที่ดีแล้ว ยังมีงานวิจัยที่พบว่าการออกกำลังกายอาจช่วยกระตุ้นให้ระบบการเผาผลาญอาหารของผู้ติดเชื้อเอชไอวีทำงานได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ดูแลสุขภาพจิต เป็นเรื่องปกติที่ผู้ป่วยจะรู้สึกเครียด ซึมเศร้า และวิตกกังวลเป็นอย่างมากหลังจากทราบว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งผู้ป่วยอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น จิตแพทย์

ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อเอชไอวีสู่ผู้อื่น เชื้อเอชไอวีสามารถแพร่กระจายผ่านทางของเหลวต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำ เป็นต้น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ให้คู่นอนไปตรวจเลือด และผู้ป่วยต้องรับประทานยาต้านเชื้อเอชไอวีอยู่เสมอ

ข้อมูลและภาพจาก : ไอยราไบโอเทค , pobpad.com , mplusthailand.com , bumrungrad.com

รู้จัก HIV กับ เอดส์ มันต่างกันอย่างไร….?

               HIV ไม่ใช่โรค แต่เป็นเชื้อไวรัส ซึ่งย่อมาจากคำว่า human immunodeficiency virus ผู้มีเชื้อ HIV จะไม่ใช่ผู้ป่วย เพราะยังไม่มีอาการแสดงใด ๆ ที่สัมพันธ์กับเอดส์ ในช่วง 2 – 3 สัปดาห์หลังรับเชื้อ ร่างกายอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด เจ็บคอ ปวดศีรษะ ต่อมน้ำเหลืองโต จากนั้นจะหายไปเอง ส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าตนเองติดเชื้อ นี่คือระยะที่ 1 หรือ ระยะไม่มีอาการ ผู้ที่อยู่ในระยะนี้ เรียกว่า ผู้มีเชื้อ HIV หรือ ผู้ที่อยู่ร่วมกับเชื้อ HIV

โรคเอดส์เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV เอชไอวี หรือ acquired immune deficiency syndrome คือกลุ่มอาการของโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ HIV ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายถูกเชื้อไวรัสทำลายจนร่างกายของผู้ป่วยไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคทั้งหลายที่เข้าสู่ร่างกายได้

ดังนั้นโรคเอดส์ และ HIV ไม่ใช่โรคเดียวกันเพียงแต่มีความเกี่ยวเนื่องกันทางอาการเท่านั้น

การติดเชื้อเอชไอวี 3 ระยะ

               ระยะเฉียบพลัน เป็นระยะแรกหลังรับเชื้อประมาณ 2-4 สัปดาห์ หลังจากติดเชื้อ ในระยะนี้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากจะเริ่มมีอาการคล้ายเป็นไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ เจ็บคอ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีผื่นและปวดหัว

ระยะอาการ ระยะนี้เชื้อยังคงอยู่ในร่างกายแต่มักไม่แสดงอาการ อย่างไรก็ตามในระยะนี้ยังสามารถแพร่เชื้อให้กับผู้อื่นได้ด้วย

ระยะเอดส์ เป็นระยะที่การติดเชื้อเอชไอวีได้พัฒนาเป็นโรคเอดส์ กว่าจะถึงระยะนี้ได้แสดงว่าผู้ป่วยไม่เคยได้รับการระงับการแพร่กระจายของไวรัสในร่างกายเลย ในระยะนี้ผู้ป่วยจะสูญเสียภูมิคุ้มกันโรคและจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่าง ๆ ขึ้นและรุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างใกล้ชิด

หมายความว่าเราจะไม่สามารถเป็นโรคเอดส์ได้เลยถ้าเราไม่ได้รับเชื่อ HIV เข้าสู่ร่างกาย หรือเมื่อได้รับเชื้อแล้วผู้ติดเชื้อเอชไอวีอาจไม่พัฒนาอาการจนเป็นผู้ป่วยโรคเอดส์เต็มขั้น

การติดเชื้อเอชไอวี

               คนสามารถติดเชื้อเอชไอวีโดยการสัมผัสกับเลือด น้ำอสุจิ ของเหลวจากช่องคลอด หรือแม้แต่น้ำนมแม่ สาเหตุการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มาจากการมีเพศสัมพันธ์และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน หรือส่งผ่านจากแม่สู่ลูกระหว่างการตั้งครรภ์

ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่คนควรมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย โดยการใช้ถุงยางอนามัยและหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเข็มฉีดยาที่ไม่ได้ผ่านการฆ่าเชื้อโรค ไม่ว่าจะระหว่างการไปพบแพทย์หรือการใช้เพื่อนันทนาการ

ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรดูแลตนเองอย่างไรไม่ให้ไปสู่ภาวะเอดส์ ?

               บอกคนรอบข้างว่าตนเองเป็นผู้ติดเชื้อเอชไอวี ก็เป็นสิ่งสำคัญ เพราะทั้งตนเองและคนรอบข้างจะได้เตรียมรับมือและปฏิบัติตัวตามข้อควรระวังหรือขั้นตอนต่าง ๆ ในการดูแลและอยู่ร่วมกับผู้ติดเชื้อได้อย่างเหมาะสมปลอดภัย

รับประทานยาตามที่แพทย์สั่งให้เคร่งครัดตรงเวลา

รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ พืชตระกูลถั่ว ธัญพืชไม่ขัดสี และแหล่งโปรตีนที่มีไขมันต่ำ เป็นต้น เพราะการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อาจช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายแข็งแรง เป็นผลดีต่อการรักษาด้วยยา ลดความเสี่ยงการเกิดผลข้างเคียงและอาการต่าง ๆ ของโรค ซึ่งช่วยให้ร่างกายต่อสู้กับโรคได้ดียิ่งขึ้นด้วย

               ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ส่งเสริมสุขภาพจิตและบุคลิกภาพที่ดีแล้ว ยังมีงานวิจัยที่พบว่าการออกกำลังกายอาจช่วยกระตุ้นให้ระบบการเผาผลาญอาหารของผู้ติดเชื้อเอชไอวีทำงานได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย

ดูแลสุขภาพจิต เป็นเรื่องปกติที่ผู้ป่วยจะรู้สึกเครียด ซึมเศร้า และวิตกกังวลเป็นอย่างมากหลังจากทราบว่าตนเองติดเชื้อเอชไอวี ซึ่งผู้ป่วยอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เช่น จิตแพทย์

ลดความเสี่ยงการแพร่เชื้อเอชไอวีสู่ผู้อื่น เชื้อเอชไอวีสามารถแพร่กระจายผ่านทางของเหลวต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น เลือด น้ำอสุจิ น้ำ เป็นต้น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ ให้คู่นอนไปตรวจเลือด และผู้ป่วยต้องรับประทานยาต้านเชื้อเอชไอวีอยู่เสมอ

ข้อมูลและภาพจาก : ไอยราไบโอเทค , pobpad.com , mplusthailand.com , bumrungrad.com